ทั้งนี้ จากองค์ความรู้ ประสบการณ์และเครื่องมือที่นักภูมิศาสตร์มี นักภูมิศาสตร์จึงทำงานได้ทั้งในฐานะผู้ศึกษาทางพื้นที่ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้วางแผนและผู้ประสานงาน
ในปี พ.ศ. 2556 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการกองบริการระบบคอมพิวเตอร์ สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ได้มีโอกาสบริหารงานด้าน Information and Communication Technology (ICT) และกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การทำงาน ทำให้มีโอกาสพบเห็นสิ่งใหม่ ๆ ในแนวกว้างและลึกมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้ทบทวนการทำงานตามวิชาชีพที่ผ่านมา และพบว่า ในฐานะนักภูมิศาสตร์ที่ทำงานด้าน ICT หรือนักภูมิศาสตร์สมัยใหม่แล้ว เรามีเครื่องมือและแนวคิดใหม่ ๆ จำนวนมาก แต่สิ่งที่ยังคงไม่เก่าและสามารถนำมาใช้ประโยชน์สนองความต้องการของคนยุคใหม่ได้คือ “ศาสตร์” หรือที่เรามีอยู่ในตัวตนคือความเป็น “นักภูมิศาสตร์”
เพราะ กทม. ใช้ GIS แค่บอก “อะไร อยู่ที่ไหน เท่าไร” ทำให้ไม่ปรากฏการนำเอาระบบ GIS มาวิเคราะห์เชิงพื้นที่เพื่อสร้างผลผลิตอย่างเต็มระบบ
เพราะ บุคลากรทั้งระดับปฏิบัติและระดับบริหารยังเข้าใจว่า GIS คือแผนที่คอมพิวเตอร์ หรือเข้าใจว่า Google Map, Bring Map คือ GIS
เพราะ เรารับรู้ข้อมูลได้ง่าย ได้รวดเร็ว เช่น โลกที่ถูกสำรวจสอดส่องด้วยเทคโนโลยีดาวเทียมดูง่ายด้วยโปรแกรม Street View มีคำถาม-คำตอบมากมายผ่านโลก Social เข้าถึงด้วย Social Media ที่มีใช้กันอยู่ทั่วไป
เพราะ “ภูมิศาสตร์” เป็นศาสตร์หนึ่งที่จำเป็นต้องใช้เป็นฐานในการสร้างเครื่องมือและแนวคิดในเชิงพื้นที่ เพื่อสนองความต้องการของคนยุคใหม่
จึงทบทวนศาสตร์ทางพื้นที่โดยเฉพาะ “ภูมิศาสตร์” ซึ่งจากการศึกษาจากครูบาอาจารย์ ประสบการณ์ที่รับราชการและการทำงานต่าง ๆ พบว่าเท่าที่ยังมีความรู้และเข้าใจทฤษฎี แนวคิดต่าง ๆ มากมาย เช่น
- การวิเคราะห์ทางพื้นที่ด้วยวิธี Overlay Technique ทั้งแบบโบราณที่นำแผนที่ที่เขียนบน Tracing Paper มาซ้อนทับกัน และแบบสมัยใหม่ที่ใช้ระบบ GIS วิเคราะห์
- การวิเคราะห์ทางพื้นที่ด้วยแนวคิด Multi Criteria Modeling การวิเคราะห์แบบพื้นฐานทั้ง Spatial Classification, GIS Data Query, Spatial Measurement, Spatial Buffering, Spatial Interpolation, Descriptive Statistic, Visibility Analysis และอื่น ๆ
- การใช้ Delphi Method กับการให้ค่าตัวแปรเพื่อการวิเคราะห์เชิงพื้นที่
- การวิเคราะห์ด้วยแนวคิดแบบจำลองแรงโน้มถ่วง (Gravity Model )
- การวิเคราะห์ด้วยแนวคิดแบบจำลองศักยภาพประชากร (Population Potential Model)
- การวิเคราะห์ด้วยแนวคิดกฎแรงดึงดูดการค้าปลีกของ Reilly
- อื่น ๆ
นอกจากนั้น ในช่วงเวลาที่ได้ทำงานและบริหารงานด้าน ICT ได้เรียนรู้ ได้พัฒนา และได้มีประสบการณ์ทั้งด้านต่าง ๆ ทั้งการจัดหา ติดตั้ง ใช้งาน ดูแลและซ่อมบำรุงระบบ Hardware, Software, Network & Communication, Data & Information, Peopleware, Application ตลอดจนได้แลกเปลี่ยนสนทนาด้านแนวคิดการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน
ทำให้รับรู้และตกผลึกองค์ความรู้ทางศาสตร์กับเทคโนโลยี จนคิดว่านักภูมิศาสตร์สมัยใหม่ควรมีองค์ความรู้ที่เกิดจากการบูรณาการศาสตร์ทางภูมิศาสตร์กับเทคโนโลยีปัจจุบันเข้าด้วยกัน โดยมีหลักการและเหตุผลที่ควรจะเป็นดังนี้
1. เมื่อนักภูมิศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับ “โลกในมิติของพื้นที่และเวลา” โดยศึกษาลักษณะทางกายภาพ มนุษย์และสิ่งแวดล้อมโดยมีเครื่องมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ ช่วยให้การศึกษาให้มีความชัดเจนเป็นระบบระเบียบขึ้น
2. ในขณะที่ยุคปัจจุบันเทคโนโลยีและการสื่อสารผ่านระบบ Internet เป็นสิ่งที่เกิดและพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่สิ้นสุดทำให้เกิดเครื่องมือที่เป็นผลผลิตที่เป็นนวตกรรมจากแนวคิด 3 แนวคิด คือ “Internet Of Thing (IoT)” “ Big Data” และ“Data Analytic” ซึ่งเป็นการบูรณาการเอาเครื่องมือ ข้อมูล ศาสตร์และประสบการณ์มาใช้ประโยชน์ตอบสนองความต้องการของมนุษย์ในปัจจุบัน โดย
1.1 Internet Of Thing (IoT) เป็นแนวคิดการนำเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ มาติดตั้งสมองกล (CPU) เล็ก ๆ แล้วต่อเชื่อมเข้ากับระบบ Internet เพื่อใช้ประโยชน์ในการสั่งการ รับ-ส่งข้อมูล เรียนรู้และประมวลผล โดยมีการควบคุมด้วยโปรแกรมประยุกต์ผ่านเครื่องมือ เช่น Smart Phone คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ตัวอย่างนวัตกรรมที่เรียกว่า IoT ได้แก่
- การใช้ Smart Phone สั่งให้เครื่องใช้ที่บ้านไม่ว่าจะเป็นปรับอากาศ หลอดไฟ กาน้ำร้อนทำงานหรือพร้อมใช้งานก่อนที่ผู้อยู่อาศัยจะเข้าบ้านหลังเลิกงาน
- การให้นาฬิกาข้อมือบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ การสูบฉีดของเลือดแล้วส่งข้อมูลไปเก็บไว้ใน Cloud Servers เพื่อประมวลผลและรายงานด้วยโปรแกรมให้รู้ทุกระยะบน Smart Phone หรือใช้เป็นข้อมูลเมื่อไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ
- การสั่งอาหารโดยการใช้มือถือถ่ายภาพเมนูอาหารที่ป้ายโฆษณาที่สถานีรถไฟฟ้า ซึ่งข้อมูลจะถูกนำไปค้นหาตำแหน่งที่พักของเจ้าของมือถือ ร้านอาหารที่มีสาขาใกล้บ้าน และประมวลผลระยะเวลาเดินทางจากตำแหน่งที่ถ่ายภาพเมนูอาหารไปยังที่พัก เมื่อผู้สั่งอาหารถึงที่พักอาหารที่สั่งก็จะถูกส่งถึงบ้านในเวลาใกล้เคียง เมื่อผู้สั่งอาหารได้รับอาหารแล้วระบบจะคิดเงินโดยตัดเงินในบัญชีของผู้สั่งอาหารทันที
1.2 Big Data เป็นข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกรับ-ส่งผ่านระบบ Internet ทั้งที่เป็นคำถาม คำตอบ ข้อคิดเห็นและเนื้อหาสาระต่าง ๆ โดยข้อมูลดังกล่าวจะเกิดขึ้นทุกวินาทีในโลก Cyber ทั้งข้อมูลที่มาจากระบบงานในรูป Descriptive Report, Prescriptive Report ข้อมูลที่เกิดจากระบบและเครื่องมือต่าง ๆ ทั้งที่เป็น Text data, Sensor data, Records data, Behavioral data, Image & Sound data และข้อมูลที่เป็น Spatial data โดยข้อมูลเหล่านี้จะสามารถถูกเลือก หรือถูกเรียกมาใช้ประโยชน์ได้มากมาย หลายรูปแบบ หลายวิธีการ ขึ้นอยู่กับขบวนการการเข้าถึงและแนวคิด วิเคราะห์การใช้งาน จากผู้พัฒนาสร้างนวตกรรมใหม่ ๆ
1.3 Data Analytic เป็นทฤษฎี แนวคิด วิธีการในการสรุป ประมวลผล วิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์จะอาจจะเกิดผ่านระบบ Data Mining, Machine Learning หรือการวิเคราะห์ผ่านระบบใด ๆ โดยเฉพาะระบบที่เป็น Cloud Servers ที่มีทั้งการวิเคราะห์แบบ Predictive Analysis, Text Analysis, Video Analysis, Social media Analysis, Sentiment Analysis, Spatial Analysis และอื่น ๆ ซึ่งการวิเคราะห์เพื่อสร้างนวตกรรมใหม่ ๆ จำเป็นต้องใช้ผู้ที่มีทั้งความรู้ทางศาสตร์ และมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง
2 ในการบูรณาการ เครื่องมือ ข้อมูล และศาสตร์เข้าด้วยกันจำเป็นต้องอาศัย “องค์ความรู้ที่เป็นศาสตร์” “ประสบการณ์” และ “ความเฉลียวฉลาดของมนุษย์” เป็นหลัก
สำหรับนักภูมิศาสตร์แล้ว สิ่งที่เป็นความเชี่ยวชาญและเป็นอัตลักษณ์ของนักภูมิศาสตร์ที่อยู่ในหลักการในแนวคิดของ Big data คือความรู้ ความข้าใจข้อมูลที่เป็น Spatial data และในแนวคิดของ Data Analytic คือ Spatial Analysis เพราะนักภูมิศาสตร์ศึกษาและเข้าใจ “คุณสมบัติเชิงพื้นที่ ปรากฏการณ์เชิงพื้นที่และแนวคิดเชิงพื้นที่”
รวมทั้งเข้าใจองค์ความรู้ทั้ง 5 กลุ่ม (กล่าวไว้ในตอนที่ 4) ส่วนการประยุกต์ใช้ประโยชน์นั้น ประสบการณ์และความเฉลียวฉลาดจะสร้างจินตนาการให้มีการสร้าง
นวตกรรมใหม่ ๆ ด้าน IoT ขึ้นมาเอง
ดังนั้น ตามความเห็นที่เกิดจากการตกผลึกความรู้และประสบการณ์แล้ว “แนวคิดนักภูมิศาสตร์สมัยใหม่” จึงมีควรมีองค์ปะกอบทั้งความรู้และประสบการณ์ ดังนี้
อย่างไรก็ตาม หากจะให้ฝันว่าบทบาทและความสำคัญของนักภูมิศาสตร์ควรเป็นเช่นไร จะขอเปรียบเทียบการมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับ “โรค” ของแพทย์ กับการมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับ “โลก” ของนักภูมิศาสตร์ ดังนี้
2.1 เมื่อผู้ป่วยไม่สบายเป็นโรค ต้องพบหมอ ซึ่งโดยทั่วไปในเบื้องต้นต้องพบกับ “อายุรแพทย์” ซึ่งรักษาทางยาหรือหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัดก่อน
2.2 หากผู้ป่วยต้องรักษาเฉพาะทางจึงจะส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทางให้รักษาอาการต่อไป
2.3 แล้วทำไม ? และทำอย่างไรเมื่อเกิดปัญหาหรือเกิดความต้องการที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่แล้ว คนทั่วไปจะนึกถึงและให้ “นักภูมิศาสตร์” ศึกษาและวิเคราะห์ก่อนเป็นอันดับแรก (ลักษณะคล้ายกับการรักษาโรค) เมื่อนักภูมิศาสตร์พิจารณาว่าต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจึงจะประสานการทำงานในแนวลึกร่วมกันต่อไป
ทั้งนี้ จากองค์ความรู้ ประสบการณ์และเครื่องมือที่นักภูมิศาสตร์มี มั่นใจได้ว่านักภูมิศาสตร์ สามารถทำงานได้ทั้งในฐานะผู้ศึกษาทางพื้นที่ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้วางแผนกำหนดทิศทางและขบวนการทำงาน และผู้ประสานงาน (Coordinator) ซึ่งความเป็นไปได้ต้องเริ่มต้นที่ การหา หรือสร้างโอกาสที่จะแสดงให้เห็นศักยภาพและความสามารถของนักภูมิศาสตร์สมัยใหม่ และที่สำคัญคือ นักภูมิศาสตร์รุ่นใหม่ควรเน้นที่จะเรียนรู้และปฏิบัติงานเกี่ยวกับแนวคิด ทฤษฎี ทางภูมิศาสตร์ควบคู่ไปกับการเรียนรู้หลักการพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เนื่องจากพบว่าหลายสถาบันเน้นสอนให้นักภูมิศาสตร์เรียนรู้ไปถึงขั้นการอ่านและเขียนโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (ไม่ใช่แกนของศาสตร์ทางภูมิศาสตร์) แต่สามารถประยุกต์นำไปใช้งานเพียงแค่หาคำตอบว่า “มีอะไร อยู่ที่ไหน เท่าไร” ขณะที่ไม่สามารถประยุกต์ใช้ แนวคิด ทฤษฎีทางภูมิศาสตร์ไปวิเคราะห์ใช้งานได้จริงหรือใช้งานได้อย่างถูกต้อง
ในสิ่งที่กล่าวและเขียนมาทั้งหมด เป็นแนวคิดที่ตกผลึกจากความรู้และประสบการณ์ของนักภูมิศาสตร์ที่ได้พยายามเรียนรู้และปฏิบัติงานจริง
ในแนวทางของศาสตร์ที่เรียกว่า “ภูมิศาสตร์” ซึ่งยังคงทำอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดตามผลงานได้ที่ www.geo2gis.com