แผ่นดินถล่ม (Landslide) ภัยพิบัติในไทยที่มากับฤดูฝน
แผ่นดินถล่ม (Landslide) เป็นขบวนการเกิดเป็นการเคลื่อนที่ของแผ่นดินและวัตถุต่าง ๆ บนพื้นดิน การเคลื่อนที่จะเคลื่อนบนพื้นที่ลาดโดยอาจจะมีน้ำหรือความชื้นเป็นตัวหล่อลื่น ปรากฏการณ์แผ่นดินถล่มเป็นกระบวนการเคลื่อนที่ของแผ่นดินที่ถล่มตัวจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเนื่องจากเกิดการเสียความสมดุลในการทรงตัว ทำให้มีการปรับตัวไหลลงมาตามแรงดึงดูดของโลก โดยทั่วไปแผ่นดินถล่มมักจะเกิดเวลามีฝนตกมากบริเวณภูเขา ซึ่งดินภูเขาต้องอุ้มนำไว้ ดินชั้นล่างมีการไหลซึมของน้ำช้ามาก ดินชั้นบนไม่เกาะกันเพราะอิ่มตัวด้วยน้ำ ประกอบกับมีความลาดเทในพื้นที่ระดับหนึ่งจึงจึงเกิดการพังหรือถล่มลงมา
การเกิดแผ่นดินถล่มจะประกอบด้วย 4 ลักษณะของการถล่มคือ
1. การตก (Falls) เป็นการหลุดออกจากที่ชันสูงและตกลงมาเป็นก้อนหรือมวลขนาดใหญ่
2. การล้มหรือคว่ำของมวล (Topples) เป็นการล้มคว่ำหรือหมุนม้วนไปข้างหน้าทั้งก้อน
3. การไถล (Slides) เป็นการเคลื่อนที่ของมวลไปบนผิวชนิดใดชนิดหนึ่งเช่นผิวโค้ง ผิวเรียบ
4. การไหล (Flows) เป็นการเคลื่อนที่ของมวลตามแนวลาดชันโดยมีน้ำเป็นตัวช่วยให้เคลื่อน
ปัจจัยและองค์ประกอบการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินถล่ม ประกอบด้วย
1. ลักษณะภูมิประเทศ เช่น ความลาดชัน ความยาวของความลาดชัน ระดับความสูงของพื้นที่
2. ลักษณะทางธรณีวิทยาและปฐพีวิทยา เช่นองค์ประกอบของหินและดิน
3. ลักษณะการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งจะมีผลต่อการปกคลุมพื้นดิน
4. ลักษณะภูมิอากาศ เช่นปริมาณฝน
แนวทางการบรรเทาภัยจากการเกิดแผ่นดินถล่ม
ตามแนวคิดทางภูมิศาสตร์ การป้องกันและบรรเทาภัยจากแผ่นดินถล่มสามารถจำแนกตามพื้นที่ที่มีระดับความเสี่ยงภัยแตกต่างกันควรจะทำการวิเคราะห์พื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม ในการวิเคราะห์จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดแผ่นดินถล่มทั้ง 4 ปัจจัยข้างต้น เทคนิคในการวิเคราะห์จะใช้แผนที่ที่แสดงจุดที่เกิดแผ่นดินถล่ม นำมาเปรียบเทียบโดยซ้อนทับกับแผนที่ที่แสดงปัจจัยการเกิดแผ่นดินถล่มเพื่อพิจารณารายละเอียดและวิเคราะห์ศักยภาพที่เหมาะสมของแต่ละปัจจัยที่จะทำให้เกิดแผ่นดินถล่มซึ่งทำให้ทราบว่าบริเวณที่มีลักษณะเช่นเดียวกับพื้นที่ที่เคยเกิดแผ่นดินถล่มเป็นบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่มซึ่งปัจจุบันได้มีการนำเอาเทคนิควิธีการด้านการจัดทำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มาใช้งาน ทำให้สามารถวิเคราะห์พื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่มได้ชัดเจนขึ้น
เมื่อรู้พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่มในระดับต่าง ๆ แล้ว สามารถกำหนดแนวทางในการป้องกันและบรรเทาการเกิดแผ่นดินถล่มได้โดยแยกเป็นมาตรการในแต่ละระยะดังนี้
มาตรการระยะยาวเพื่อจัดการพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม ได้แก่
1. การกำหนดเขตการใช้ที่ดินอย่างชัดเจน
2. การกำหนดกฎระเบียบและข้อกำหนดในการจัดการพื้นที่
3. การจัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างโครงสร้างต่าง ๆเพื่อลดความรุนแรงของการเกิดแผ่นดินถล่ม
4. การปลูกพืชคลุมดินที่เหมาะสม โตเร็ว
5. การส่งเสริมและให้ความรู้ด้านการป้องกันและบรรเทาการเกิดแผ่นดินถล่ม
6. การติดตามสถานการณ์ข่าวพยากรณ์อากาศ
มาตรการระยะสั้นหรือมาตรการเร่งด่วนเพื่อจัดการพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม ได้แก่
1. การกำหนดเขตพื้นที่ที่เป็นอันตรายจากการเกิดแผ่นดินถล่ม
2. การวางมาตรการและกำหนดวิธีการจัดการพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินถล่ม
3. เร่งดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินถล่ม
4. จัดตั้ง อบรมและให้ความรู้แก่หน่วยบรรเทาสาธารณภัย
5. เร่งดำเนินการย้ายชุมชนที่เสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่มสูง
6. หาวิธีหรือแนวทางในการจัดทำและติดตั้งระบบเตือนภัย
สำหรับในประเทศไทยพบบริเวณที่เกิดแผ่นดินถล่มอยู่จำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในบริเวณที่เป็นภูเขา เมื่อฝนตกหนักเกิดการถล่มของดินน้ำจะพัดพาเอาดินเหล่านั้นไปตามลำน้ำ ร่องเขาออกสู่ปากแม่น้ำ ไหลลงสู่ที่ราบ สู่ชุมชนทำให้เกิดความเสียหาย แผ่นดินถล่มจะพบชัดเจนและเกิดความเสียหายได้แก่บริเวณบริเวณภาคใต้ เช่น เมื่อวันที่ 5-6 ม.ค. 2518 ภูเขาถล่มที่ ตำบลหินตก อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ทำให้บ้านเรือนพัง 85 หลัง เสียชีวิต 24 คน สูญหาย 35 คน และ เมื่อวันที่ 26 พ.ย. – 4 ธ.ค. 2531 ที่ ตำบลกระทูน อำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช ภูเขาถล่ม น้ำพัดพาเอาดิน ต้นไม้มากระแทกทับบ้านเรือนทำให้เสียหาย 2621 หลัง คนเสียชีวิต 236 คน สูญหาย 305 คน เป็นต้น